วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

โยฮันน์ เกรกอร์ เมนเดล

โยฮันน์ เกรกอร์ เมนเดล
(Gregor Mendel)
              ต้องยอมรับว่านี่คือ ยุคแห่งพันธุศาสตร์ เพราะใน ช่วง 50 ปีที่ผ่านมานี้ การค้นคว้าและความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด นั่นก็เพราะความต้องการแก้ปัญหาด้านสุขภาพ และต้องการไขปริศนาธรรมชาติในกระบวนการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทำให้มวลมนุษย์เดินหน้าหาวิธีการต่างๆ เพื่อให้ร่างกายสามารถพิชิตโรคภัย และดำรงตนอยู่ในโลกยุคใหม่อย่างสบายใจไร้ทุกข์ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่
พัฒนาขึ้นมาถึงระดับเทคโนโลยี

 
ประวัติ

โยฮันน์ เกรกอร์ เมนเดล เกิดในปี ค.ศ.1822 เป็นบาทหลวงชาวออสเตรีย และในขณะเดียวกันเขาก็เป็นอาจารย์สอนหนังสือให้แก่นักเรียน สอนนักเรียน ถึงเรื่องพันธุ์กรรมด้วย เมนเดลมีความสนใจศึกษาด้านวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ ด้านพันธุศาสตร์ เขาได้ใช้สถานที่ภายในบริเวณวัดเพื่อทำการทดลองสิ่งต่างๆ ที่เขาสนใจ เมนเดลเริ่มต้นทดลองเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1856 เรื่องที่เขาทำการทดลองคือ การรวบรวมต้นถั่วหลายๆพันธุ์นำมาผสมกันหลายๆวิธีเขาใช้เวลาทดลองต่อเนื่อง ถึง 7 ปี จนได้ข้อมูลมากเพียงพอ ในปี ค.ศ.1865 เมนเดล จึงได้ รายงานผลการทดลอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผสมพันธุ์ ต้นถั่ว ให้แก่ที่ประชุม Natural History Society ในกรุงบรุนน์ ( Brunn ) ผลงานของเขาได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ออกไปทั่วทวีปยุโรปและ อเมริกาในปีต่อมาคือปี ค.ศ.1866 ผลงานของเขาถูกปล่อยไว้นานถึง 34 ปี จนกระทั่งปี ค.ศ.1900 ได้มีนัก ชีววิทยา 3 ท่าน คือ ฮูโก เดฟรีส์ ชาวฮอลันดา คาร์ล คอเรนส์ ชาวเยอรมันและ เอริช ฟอน แชร์มาค ชาวออสเตรเลีย ได้ทดลองผสมพันธุ์พืชชนิดอื่นๆ และได้ผลการทดลองตรงกับที่เมนเดลเคยรายงานไว้ ทำให้เมนเดลเป็นที่รู้จัก ในวงการพันธุศาสตร์นับแต่นั้นเป็นต้นมา และ เมนเดลยังได้รับการยกย่องว่า เป็นบิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์อีกด้วย เมนเดลเสียชีวิตลงในปี ค.ศ.1884 ถึงแม้เป็นความจริง เขาจะไม่ได้รับการ ยอมรับนับถือในฐานะนักวิทยาศาสตร์มากนัก แต่ประชาชนทั่วไปก็นับถือเขาและมีความศรัทธาในฐานะนักบวชเป็นอย่างมาก
ต้องยอมรับว่านี่คือ “ยุคแห่งพันธุศาสตร์” เพราะในช่วง 50 ปีที่ผ่านมานี้ การค้นคว้าและความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด นั่นก็เพราะความต้องการแก้ปัญหาด้านสุขภาพ และต้องการไขปริศนาธรรมชาติในกระบวนการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทำให้มวลมนุษย์เดินหน้าหาวิธีการต่างๆ เพื่อให้ร่างกายสามารถพิชิตโรคภัย และดำรงตนอยู่ในโลกยุคใหม่อย่างสบายใจไร้ทุกข์ ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นมาถึงระดับเทคโนโลยี สัปดาห์นี้ผู้จัดการวิทยาศาสตร์จึงนำสุดยอดการค้บพบทางวิทยาศาสตร์ที่นำเสนอ โดยรายการ"ไซน์แชนแนล" (
Science Channel) ทางช่อง "ดิสคัฟเวอร์รี" (Discovery Channel) ในประเด็น
การค้นพบทางพันธุกรรม โดยสรุป 13 ข้อค้นพบเด่นที่ขับเคลื่อนให้วงการเทคโนโลยีชีวภาพก้าวไกลมาได้ถึงขนาดนี้


กฎของเมนเดล (Rules of Heredity หรือกฎของการสืบสายเลือด)
ในช่วงปี 1850
           แน่นอนว่า...ประวัติศาสตร์แห่งวงการพันธุศาสตร์ต้องเริ่มต้นจาก บาทหลวงชาวออสเตรียที่เป็นนักพฤกษศาสตร์นามว่า เกรเกอร์ โยฮัน เมนเดล” (Gregor Mendel) ที่ได้ค้นพบข้อมูลการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากรุ่นสู่รุ่น โดยเมนเดลได้ทดลองกับพืชตระกูลถั่ว เขาสังเกตว่าลักษณะบางอย่างของต้นถั่วรุ่นลูก อย่างเช่นความสูง การแสดงถึงลักษณะเด่นเหล่านี้จะแตกต่างกันไป
โดยกฎแห่งการสืบสายเลือด หรือกฎของเมนเดลนั้นจะมี
ลักษณะเด่น (Dominant) และลักษณะด้อย (Recessive) เมื่อพ่อกับแม่ที่มีลักษณะเด่นมาผสมกัน ก็จะได้ลูกเด่นทั้งหมด แต่ถ้านำด้อยมาผสมกันก็จะได้ลูกลักษณะด้อยทั้งหมดเช่นกัน แต่ถ้านำเด่นกับด้อยมาผสมกันผลที่ได้ในรุ่นลูกคือ เด่นทั้งหมด แต่ถ้านำไปผสมกันในรุ่นหลานก็จะได้ เด่นแท้-ด้อยแท้-เด่นไม่แท้ ในลักษณะ 1-1-2 ส่วน ลองดูตามตัวอย่าง ให้ถั่วต้นสูง (T) เป็นลักษณะเด่น และต้นเตี้ย (t) เป็นลักษณะด้อย

1) ถั่วต้นสูง (T) + ถั่วต้นสูง (T) = ลูกสูงทั้งหมด (TT)
2) ถั่วต้นเตี้ย (t) + ถั่วต้นเตี้ย (t) = ลูกเตี้ยทั้งหมด (tt)
3) ถั่วต้นสูง (T) + ถั่วต้นเตี้ย (t) = ลูกสูงทั้งหมด (Tt)
4) เอาลูกที่ได้จากข้อ 3
ลูกสูงทั้งหมด (Tt) + ลูกสูงทั้งหมด (Tt) = ลูกสูงแท้ (TT) 25% , ลูกเตี้ยแท้ (tt) 25% ,ลูกสูงไม่แท้ (Tt) 50%
5) เมื่อเอาเมล็ดถั่วสูงแท้ (TT) จากข้อ 4 ไปปลูกจะได้ลูกสูงหมด (TT) และเอาเมล็ดถั่วต้นเตี้ย (tt) ไปปลูก จะได้ลูกเตี้ยหมด (tt) เอาเมล็ดถั่วต้นสูงไม่แท้ (Tt) จะได้ถั่วชั้นลูกเหมือนกับข้อ 4
เมนเดลได้ใช้เวลาทั้งชีวิตค้นคว้าในเรื่องนี้จนกระทั่งสิ้นใจ โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่เขาค้นพบทำให้เขากลายเป็น บิดาแห่งพันธุกรรมในเวลาต่อมา


ผลงาน

              เมนเดลได้ใช้เวลาทั้งชีวิตค้นคว้าในเรื่องนี้จนกระทั่งสิ้นใจ โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่เขาค้นพบทำให้เขากลายเป็น บิดาแห่งพันธุกรรมในเวลาต่อมา







ที่มา http://www.thiswomen.com/Variety/id4120.aspx

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วิเคราะห์มิติโลก 8 ด้าน

ก้ปัขัย้ 

  
วิธีการลดความขัดแย้ง
ความขัดแย้ง
ความขัดแย้ง หมายถึง ปฏิสัมพันธ์ที่มีลักษณะของความไม่เป็นมิตรหรือตรงกันข้ามหรือไม่ลงรอยกันหรือความไม่สอดคล้องกัน ลักษณะของความไม่ลงรอยกันหรือไม่สอดคล้องกันนี้จะเกี่ยวข้องกับประเด็นต่างๆ หลายประเด็น เช่น เป้าหมาย ความคิด ทัศนคติ ความรู้สึก ค่านิยม ความสนใจ ความสัมพันธ์ เป็นต้น
ลักษณะของความขัดแย้ง
ลักษณะของความขัดแย้ง อาจจะแสดงออกมาหรือมีลักษณะ ดังต่อไปนี้
1)           จะมีบุคคลหรือฝ่ายอย่างน้อยที่สุด 2 ฝ่าย หรือบุคคล 2 บุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันและมีปฏิสัมพันธ์บางอย่างต่อกัน
2)           แต่ละบุคคลหรือแต่ละฝ่าย จะมีความเชื่อและค่านิยมเฉพาะ ซึ่งแต่ละบุคคลหรือสมาชิกในแต่ละฝ่ายตระหนักและมองเห็นในความเชื่อและค่านิยมนั้น
3)           ปฏิสัมพันธ์ระหว่างแต่ละฝ่าย ซึ่งจะแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงการข่มขู่ การลดพลัง การกดดันฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ
4)           แต่ละบุคคลหรือแต่ละฝ่าย เผชิญหน้ากันหรือแสดงปฏิกิริยาในลักษณะตรงข้ามกันหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
5)           แต่ละบุคคลหรือแต่ละฝ่ายจะแสดงปฏิกิริยาที่ก่อให้เกิดความเหนือกว่าทางด้านอำนาจต่ออีกฝ่ายหนึ่ง
จากลักษณะของความขัดแย้งดังกล่าวข้างต้น จะเรียกว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคล ซึ่งนอกจากจะเกิดระหว่างบุคคลหรือกลุ่มหรือฝ่ายแล้ว ยังเกิดขึ้นในตัวบุคคลด้วย ตัวอย่างเช่น บุคคลคนหนึ่งอาจจะมีความคิดที่ขัดแย้ง เช่น นักเรียนอาจจะชอบเพื่อนในห้องชื่อเอ แต่เออาจจะรักใคร่ชอบพอสนิทสนมกับบี ซึ่งนักเรียนไม่ชอบบี ความรู้สึกขัดแย้งอาจจะเกิดขึ้นกับนักเรียน ความยุ่งยากในการตัดสินใจก็จะเกิดขึ้นว่าควรจะเลิกคบกับเอหรือไม่ เป็นต้น                                                               

สาเหตุหรือที่มาของความขัดแย้ง
ความขัดแย้งระหว่างบุคคลหรือระหว่างกลุ่มเกิดขึ้นได้จากสาเหตุหรือแหล่งต่างๆ ดังนี้
1)           มนุษย์สัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ซึ่งมีลักษณะ ดังนี้
(1)      ความไม่เข้าใจกัน
(2)      ความสัมพันธ์ที่เพิกเฉยและไม่เกื้อกูลกัน
(3)      ความล้มเหลวของการสื่อความหมายอย่างเปิดเผยและซื่อตรง
(4)      บรรยากาศของการไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ความกดดัน และการแข่งขัน
(5)      การับรู้ของบุคคลที่อยู่ในสภาวการณ์ของความขัดแย้งที่มีผลต่อบุคคลอื่น ในสภาวการณ์นั้น ซึ่งเป็นไปในทางส่งเสริมให้เกิดความขัดแย้ง
2)           การแข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งรางวัลที่มีอยู่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งตอบแทนอื่นๆ สถานภาพ ความรับผิดชอบ และอำนาจ
3)           องค์ประกอบส่วนบุคคล ความขัดแย้งอาจเกิดจากบุคลิกภาพส่วนบุคคล เช่น การมีสัณชาตญาณของความรุนแรง ก้าวร้าว ต้องการการกแข่งขัน ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนอาจจะมีมากน้อยแตกต่างกัน
ผลกระทบที่เกิดจากความขัดแย้ง
ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับแนวคิดและความเชื่อของแต่ละบุคคล บางคนมองความขัดแย้งเป็นสิ่งไม่ดี เป็นของคู่กับความรุนแรง สำหรับกลุ่มบุคคลบางกลุ่มในปัจจุบัน มีแนวความคิดว่าความขัดแย้งเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ความขัดแย้งบางอย่างเป็นสิ่งที่ดีเพราะช่วยกระตุ้นให้คนพยายามแก้ปัญหา โดยเปลี่ยนความขัดแย้งให้มีประโยชน์และสร้างสรรค์
ในกรณีที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงระหว่างสมาชิกในกลุ่มที่มีความขัดแย้งกัน อาจจะก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือถึงขั้นเสียชีวิต รวมไปถึงบุคคลอื่นอาจได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำนั้นๆ ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาความขัดแย้งของกลุ่มนี้แต่อย่างใด จากปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอาจจะขยายวงกว้างกลายเป็นความขัดแย้งของคนกลุ่มใหญ่ จนกระทั่งกลายเป็นปัญหาของสังคม ซึ่งปัญหาความรุนแรงดังกล่าวจะมีผลต่อคุณภาพการศึกษาเล่าเรียนของเยาวชนกลุ่มนี้ตามไปด้วย เกิดภาพพจน์ทางด้านลบของสมาชิกในกลุ่มและของสถาบันทางการศึกษาที่กลุ่มสังกัดอยู่ รวมถึงความวิตกกังวล ความกลัวของประชาชน

แนวทางในการแก้ปัญหาหรือลดความขัดแย้ง
แนวทางในการแก้ปัญหาหรือลดความขัดแย้ง
การแก้ปัญหาความขัดแย้ง หมายถึง การลดหรือขจัดความขัดแย้ง เพื่อทำให้พฤติกรรมของการขัดแย้งหายไปหรือสิ้นสุดลง ซึ่งปัญหาด้านความขัดแย้งของวัยรุ่น มีแนวทางแก้ปัญหา ดังนี้
1)           ให้คำแนะนำแก่วัยรุ่นที่มีปัญหา โดยหาบุคลากรที่มีประสบการณ์ เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของวัยรุ่นมาช่วยแก้ปัญหา
2)           ครู อาจารย์ และผู้ปกครองต้องเข้าใจปัญหาความขัดแย้งและหาแนวทางแก้ไข เช่น การแก้ปัญหาโดยการใช้แนวคิดเชิงบวก การให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ตลอดจนการแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรง
3)           วัยรุ่นที่มีอารมณ์รุนแรง สามารถใช้หลักธรรมเพื่อช่วยระงับอารมณ์ได้ เช่น การฝึกวิปัสสนาเจริญสติปัฏฐานหรือฝึกอานาปานสติ เป็นต้น
4)           จัดให้มีโครงการเสริมสร้างสันติวัฒนธรรมในโรงเรียนและพัฒนาศักยภาพบุคลากรในสถานศึกษา
5)           มีวิธีการหรือกระบวนการคลี่คลายความขัดแย้งโดยใช้หลักการประนีประนอม

ทักษะการสื่อสารกับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
สาเหตุของปัญหาความขัดแย้งซึ่งทำให้เกิดการใช้คามรุนแรง อาจเป็นเพราะทักษะการสื่อสารไม่ดีพอ ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและส่งแหล่งอ้างอิงผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา
การสื่อสาร หมายถึง การนำข่าวสารส่งไปยังที่หมายโดยการพูดหรือการแสดงพฤติกรรมต่างๆ ดังนั้น การสื่อสารจึงเป็นกุญแจสำคัญในความสำเร็จของความสัมพันธ์ ซึ่งการสื่อสารที่ดีจะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างนักเรียนหรือเยาวชนในชุมชนลงได้
1)           กระบวนการสื่อสาร
มีกระบวนการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งกระบวนการของการสื่อสาร ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ผู้ส่งข่าวสาร สื่อที่ใช้ส่งข่าวสาร และผู้รับข่าวสาร
2)           ทักษะการสื่อสารเพื่อลดและแก้ปัญหาความขัดแย้ง
ทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ สามารถช่วยลดและแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ ซึ่งควรเสริมสร้างทักษะการสื่อสาร ดังนี้
(1)      การเป็นผู้ส่งข่าวสารที่ดี ต้องเป็นผู้ที่ส่งและรับข่าวสารได้ดี มีทักษะพูดที่ดี เช่น พูดด้วยระดับน้ำเสียงที่เหมาะสม ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป ชัดถ้อยชัดคำ พูดตรงประเด็น ขณะพูดควรหันหน้าให้ผู้ฟัง เป็นต้น
(2)      การรับข่าวสารและการเป็นผู้ฟังที่ดี ควรทักษะการฟังที่ดี เช่น ฟังอย่างตั้งใจ และทบทวนสิ่งที่ฟังอย่างมีเหตุผล มีสมาธิในการฟัง เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สรุปสาระสำคัญ เกาหลี


สรุปสาระ


รุระสำคั
















5.      
กระแสวัฒนธรรมของเกาหลี ได้เกิดขึ้นโดยการผ่านกระบวนการวิเคราะห์มาอย่างดี เกาหลีได้ตกเป็นลูกไล่ของประเทศเพื่อนบ้าน ในสงครามโลกที่2 เกาหลีถูกญี่ปุ่นยึดครอง แต่เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามสหรัฐฯ ได้เข้าดูแลเกาหลีตอนใต้ขณะที่ รัสเซียกับจีนยึดทางตอนเหนือ ต่อมาเกาหลีเหนือได้ตีกรุงโซลจึงเกิดสงครามขึ้น มีมหาอำนาจอยู่เบื้องหลัง
      เกาหลีใต้เปิดแบรนด์ของตนเป็นครั้งแรก ด้วยการนำคณะนักร้องนักแสดงเกาหลีไปแสดงที่กรุงปักกิ่ง

สอดคล้องกับมิติโลก 8 ด้านดังนี้
1.         ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน
2.         ด้านความหลากหลาย
3.         ด้านการพริกวิกฤตให้เป็นโอกาส
4.         ด้านความเป็นธรรม
  5.         ด้านพึ่งพาอาศัยกัน

หัวข้อคำถาม
1.เกาหลีใต้เปิดตัวแบรนด์ครั้งแรกของตนเป็นครั้งแรกอย่างไร?
2.ในสงครามโลกครั้งที่เกาหลีใต้ได้รับการดูแลจากประเทศใด?
3.ทำไมเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จึงทำสงครามกัน?


เอามาจาก  http://bilweb.hchg.gov.tw/newinhabitants/th_content/cultural/cultural07.aspx 

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

                               ใบกิจกรรม เรื่อง การตั้งชื่อเรื่องเเละสรุปใจความสำคัญ

                                 ชื่อ นางสาว ชูกมล พรหมสวัสดิ์  ชั้น ม.4/14 เลขที่ 22


ชื่อเรื่อง ความคิดที่ผิดของมีดโกลนหนวด
ชื่อเรื่อง มีดโกรนหนวดของช่างตัดผม

ใจความสำคัญ มีมีดโกรนหนวดอยู่อันหนึ่งอาศัยอยู่ที่ร้านโกรนหนวดในขณะที่มันกำลังตากแดดอยู่นั้นมันได้ส่องไปในกระจกมันจึงคิดว่า รูปร่างที่สวยงามของมันนั้นช่างไม่เหมาะสมกับงานโกลนหนวดนี้เสียเลยมันจึงหนีออกจากร้านแล้วหาที่หลบซ่อนตัวพอเวลาผ่านไปมันจึงออกมาเพื่อนจะเที่ยวชมบรรรณยากาศภายนอกมันเหลือบไปเห็นตนเองอยู่ในกระจก ภาพที่มันเห็ฯนั้นคือ สนิมกำลังขึ้นตัวมัน มันทำได้แต่เพียงแค่เสียใจกับความงามของมันที่สูญไป



ชื่อเรื่อง เพื่อนแท้
ชื่อเรื้อง สายลมแห่งมิตรภาพ

ใจความสำคัญของเรื่อง มีชายหนุ่มอยู่2คนทั่ง2ได้เป็นเพื่อนกันแล้วได้ร่วมเดินทางในทะเลทรายในขนาดที่ทั้ง2กำลังเดินทางเกิดการทะเลาะกันขึ้นมาและมีชายคนหนึ่งโดนตบหน้าแต่ชายคนที่โดนตบหน้านั้นไม่โต้กลับเข้าเพียงแต่เขียนข้อความไว้บนผืนทรายว่า”เพื่อนรักของฉันได้ตบหน้าฉัน1ที” และทั่ง2ก็ได้เดินทางต่อไปเมื่อทั้ง2ได้เดินทางไปถึงสระน้ำทั้ง2ได้พากันลงไปอาบน้ำแต่ชายที่ถูกตบหน้ากลับพลับหล่น จมน้ำแต่โชคดีที่ชายอีกคนได้ช้วยเข้าไว้ได้ทันพอเข้าขึ้นมาจากน้ำเขาได้เขียนไว้บนหินว่า “เพื่อนรักของฉันได้ช้วยชีวิตฉัน” ทันไดนั้นเพิ่อนของเข้าก็ถามเข้าว่าทำมัยต้องทำแบบ นี้ ชายที่ถูกตบหน้าก็ได้พูดไปว่า สิ่งที่เพื่อนทำผิดพลาดไปนั้นฉันจะเขียนไว้บนทรายเพื่อที่จะให้สายลมพัดมันแล้วหายไปแต่สิ่งที่เพื่อนได้ช้วยเราไว้นั้นฉันจะเขียนมันไว้บนก้อนหิน เพื่อที่จะเขียนเอาไว้ที่ก้อนหินเพื่อที่จะได้ จดจำมันไว้ตลอดไป

ชื่อเรื่อง ความหยิ่งทะนงทำให้เราหลงผิด
ชื่อเรื้อง ความคิดเหย่อหยิ่งของคนเรา


ใจความสำคัญ มีนักธุรกิจหญิงคนหนึ่งได้นั้งรอ ต่อเครื่องบินเที่ยวต่อไปในอีก3ชั่วโมง เธอได้ไปซื้อหนังสือมา1เล่มและคุกกี้มา1ห่อและเธอก็ได้หาที่นั้นเพื่อที่จะนั้งอ่านหนังสือค่าเวลา เธอได้ไปนั้งที่นั้งที่หนึ่งซึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั้งข้างๆ
ชายหนุ่มคนัน้นได้หยิบ คุกกี้ขึ้นมาแกะกิน เธอได้คิดในใจว่าชายหนุ่มคนนี้ไร้มารายาท มากๆที่หยิบขนมของตนมากิน
และทั้ง2ก็นั้งกินคุกกี้ มากิน คนละชิ้นๆ จนเหลือชิ้นสุดท้ายเธอมองชายคนนั้น แล้ว เข้าก็ได้ค่อยๆ หยิบคุกกี้ขึ้นอย่างช้าๆ และหักแบ่งครึ่ง เธอรีบหยิบแล้วรีบทาน ทันทีเธอทำได้คิดว่าถ้าฉันไม่ใช้ผู้ดีมีมารยาท นะฉันจะชกเข้าที่หน้าแรงๆ แล้วเธอก็ลุกเดินขึ้นเครื่องไปแบบไม่หันมามอง พอขึ้นเครื่องแล้วเธอก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านแล้วก็มีกล่องคุกกี้อยู่ เธอคิดว่า คุกกี้กล่องนั้นเป็นของชายคนนั้นเธอ วิ้งไปเพื่อที่จะขอโทดชายคนนั้นแต่ชายคนนั้นก็หายไปแล้วเธอทำได้แต่เสียใจ กับการเหย่อหยิ่งของตนเอง